90%ของแพทย์ในญี่ปุ่น ไม่แนะนำการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กเล็ก
เขียนโดย นายแพทย์ อะซึโอะ ยานางิซาวะ
(จากการสำรวจของสมาคมแพทย์ Orthomolecular ญี่ปุ่น) แต่ทว่า
ยังไม่มีความเพียงพอถึงข้อมูลความปลอดภัยในระยะยาวและผลข้างเคียงของวัคซีน การฉีดวัคซีนให้แก่บุคคลอายุ 12 – 20
ปีที่ได้ทำไปแล้วพบตัวอย่างการเสียชีวิตและผลข้างเคียงรุนแรงมากกว่าการแพร่ระบาดของโควิด
เดิมทีแล้วหากเด็กเล็กติดเชื้อขึ้นมา อาการก็จะไม่หนัก
ดังนั้นความสำคัญของการฉีดวัคซีนจึงแบ่งออกเป็นทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แม้แต่สมาคมกุมารแพทย์ของญี่ปุ่นเองยังแสดงความคิดเห็นว่า
การฉีดให้แก่เด็กเล็กซึ่งแทบจะไม่มีอาการหนักนั้น
จะให้น้ำหนักความสำคัญเทียบเท่ากับผู้สูงอายุและผู้ใหญ่ไม่ได้
สมาคมแพทย์ Orthomolecular
ญี่ปุ่นเป็นสมาคมที่ไม่ได้เป็นทั้งพวก Anti-vaccination และไม่ได้เป็นพวก Pro-vaccination ด้วย แต่เป็นพวก Circumspection
(รอบคอบถี่ถ้วน)
ในการตัดสินใจให้เด็ก ๆฉีดนั้นผู้ปกครองควรได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง
แต่สื่อต่างๆ ทั้งทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์
มีแต่ความโน้มเอียงไปยังข้อมูลที่แนะทำให้ไปฉีด
ดังนั้น จึงได้ทำการสำรวจเกี่ยวกับ
“แพทย์จะให้บุตรหลานของตนรับการฉีดวัคซีนหรือไม่” เนื่องจากในมุมมองของประชาชนทั่วไป
แพทย์เป็นผู้ที่มีทั้งความรู้และข้อมูลอยู่มากเกี่ยวกับความจำเป็นและผลข้างเคียงของวัคซีน
ดังนั้นการตัดสินใจของแพทย์ต่อบุตรหลานของตนจึงถือเป็นอ้างอิงที่มีประโยชน์มาก จึงมี 3 องค์กรได้แก่ สมาคมแพทย์ Orthomolecular ญี่ปุ่น, สมาคม Children Corona Platform และสถาบัน
Intravenous Therapy ได้ทำการสำรวจ
“ความตระหนักของแพทย์และทันตแพทย์เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กเล็กที่มีสุขภาพดี”
สรุปโดยย่อของการสำรวจ
ทำการสำรวจเป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่
27 มกราคม 2565 – 3 กุมภาพันธ์ 2565 หลังจากแต่ละองค์กรได้ส่งอีเมล์ร้องขอไปยังผู้เกี่ยวข้องและสมาชิกให้บันทึกการสำรวจ
จึงได้รับคำตอบจากแพทย์ 301 ราย ทันตแพทย์ 240 ราย รวมทั้งหมด 541 ราย สถานที่ทำงานของผู้ให้คำตอบแบ่งออกเป็น
สถานีอนามัย 85%
โรงพยาบาลในสถาบันการศึกษา 5% และโรงพยาบาลทั่วไป
8 % แบ่งตามแผนกเป็น
อายุรกรรม 139 ราย กุมารเวช 16 ราย
ที่เหลือก็กระจายเป็นหลากหลายแผนกไป
90%ของแพทย์ จะไม่ให้บุตรหลานฉีดวัคซีนโควิด
จากคำตอบทั้งหมด ทั้งแพทย์และทันตแพทย์ต่างมีคำตอบไปในทิศทางเดียวกัน
ทั้งนี้จะขออธิบายถึงผลของทั้งหมด 541 ราย ในภายหลัง
หลังจากที่สอบถามผู้ที่มีบุตหลานวัย 5 –
11 ปีในครอบครัว 169 ราย ว่าจะให้ฉีดหรือไม่ มีผู้ตอบว่า “ให้ฉีด” 5.3%
ส่วนผู้ที่ตอบว่า “ไม่ให้ฉีด” หรือ “ขอดูสถานการณ์ก่อนค่อยตัดสินใจ” รวมกันแล้วเป็น 92.3% อีกทั้ง ในส่วนของคำถามว่า “จะแนะนำให้ฉีดหรือไม่หากหารือกับพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือเพื่อนแล้ว” มีคำตอบว่า “แนะนำ” 6.7% คำตอบว่า “ไม่แนะนำ” และ “ขอรอดูก่อนสักพัก” มี 88.4%
สรุปได้ว่า 90%ของแพทย์ จะไม่ให้บุตรหลานฉีดวัคซีนโควิด และตัดสินใจว่าแม้จะหารือกับเพื่อนหรือคนรู้จักแล้วก็ไม่ให้ฉีด
หรือขอรอดูไปก่อนสักพัก
เมื่อถามถึงเหตุผลว่าทำไม “ไม่ให้ฉีด”
หรือ “ขอดูไปก่อนสักพัก” 60 – 65%
ของคำตอบที่ได้มีหลากหลายเช่น กังวลถึงผลข้างเคียง
ข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจยังไม่เพียงพอ ยังไม่จำเป็นสำหรับการฉีดให้กลุ่มวัยนี้
1
ปีผ่านไปแล้ว นับตั้งแต่การฉีดวัคซีนที่ได้เริ่มทำให้แก่ผู้ปฏิบัติงานทางการแพทย์ก่อนเมื่อกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
แม้การสำรวจในครั้งนี้จะมุ่งเน้นไปยังคลินิกเอกชน
แต่คาดการณ์ได้ว่าอัตราการฉีดน่าจะมากกว่า 80% แล้ว แต่ทว่า 52% ของแพทย์ 301
ราย และ 59% ของทันตแพทย์ 204 ราย ปรากฏว่า 55%ของทั้งหมดเป็นผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน ถือว่าเป็นสิ่งที่เกินคาด แม้ 84.7% จะเป็นคลินิกเอกชน ก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก
เรื่องนี้อาจจจะเป็นความจริง และอาจเป็นความโน้มเอียงของการสำรวจก็ได้
นอกจากนี้
ในแง่ของความน่าเชื่อถือของการสำรวจ ผู้ให้คำตอบทุกคนได้กรอกอีเมลแอดเดรส โดยมี
73.4%
ของผู้ที่กรอกทั้งชื่อ ที่อยู่ และอีเมลแอดเดรส
เมื่อเพิ่มผู้กรอกเฉพาะชื่อและอีเมลแอดเดรส ก็จะเป็น 84.5% จึงพิจารณาได้ว่าความน่าเชื่อถือของผู้ให้คำตอบมีความน่าเชื่อถือสูง
สุดท้ายนี้
แม้แต่ในเวปไซต์ข้อมูลสำหรับแพทย์อย่าง M3.com ก็ได้ทำการสำรวจเช่นเดียวกันกับเรา แต่ทว่า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า
ผลสรุปที่ได้นั้นกลับห่างไกลจากของเรา โดยมีแพทย์ถึง 60% ที่ตอบว่า
“แนะนำ” การฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก 5 – 11ปี
ขณะนี้กำลังพิจารณาที่จะส่งข้อคำถามไปยังเวปไซต์นี้
จากการสำรวจครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นว่า “90%ของแพทย์ จะไม่ให้บุตรหลานฉีดวัคซีนโควิด” ขอให้ผู้ปกครองทั้งหลายที่ยังลังเลใจเกี่ยวกับการให้ลูกหลานไปฉีดวัคซีน
จงได้ใช้คำนี้ให้เป็นประโยชน์ในการอ้างอิง
ผู้เขียนเองก็คิดว่าความปลอดภัยของวัคซีนแก่เด็กต้องมีสูงกว่าของผู้ใหญ่หลายเท่า อย่างไรก็ตาม
การจะให้เด็กฉีดทั้ง
ๆที่ทำแค่การทดสอบความปลอดภัยในช่วงเวลาอันสั้นเหมือนกับของผู้ใหญ่
ก็ถือว่าเป็นสิ่งเกินให้อภัย
ที่มา:
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น