ร่างกายของแต่ละคนมีความเฉพาะตัว แตกต่างกันไปตามพันธุกรรม ถิ่นกำเนิด สภาพแวดล้อม รูปแบบการใช้ชีวิต ฯลฯ ดังนั้นการได้มาซึ่งสุขภาพที่ดีย่อมมีหลายแนวทางเพื่อรองรับกับความแตกต่างนี้ ในเอกสารว่าด้วยเรื่องสิทธิด้านสุขภาพขององค์การอนามัยโลก Fact sheet หมายเลข 31 จึงให้มุมมองไว้ว่าสิทธิและเสรีภาพเกี่ยวกับสุขภาพนั้นไม่ได้มีเพียงแค่การดูแลสุขภาพ และสถานพยาบาล แต่ต้องครอบคลุมไปถึงปัจจัยที่นำไปสู่การมีชีวิตที่มีสุขภาพที่ดีด้วย อันได้แก่
- อาหารและน้ำที่สะอาด
- สุขอนามัยที่เพียงพอ
- สารอาหารที่พอเพียง
- สภาพการทำงานและสิ่งแวดล้อมที่ดี
- ที่สำคัญคือ การให้การศึกษาและข้อมูลที่รอบด้านเกี่ยวกับสุขภาพ
อีกทั้งเสรีภาพเหล่านี้ยังรวมถึงสิทธิที่ปราศจากการรักษาพยาบาลโดยไม่ได้รับความยินยอม ปราศจากการทรมานและโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือลดระดับคุณภาพในการดูแลรักษา
เมื่อสุขภาพของแต่ละคนมีความเฉพาะตน สุขภาพจึงควรเป็นเสรีภาพส่วนบุคคลที่จะเลือกแนวทางที่เหมาะสม และปลอดภัยที่สุดสำหรับตนเอง ดังนั้น การแสดงออกที่ทรงพลังของเสรีภาพส่วนบุคคลคือการที่แต่ละบุคคลสามารถเรียกร้องกรรมสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ในร่างกายของตนเพื่อดำรงชีวิตให้อยู่ได้อย่างมีสุขภาพ ภายใต้การให้ความรู้และข้อมูลรอบด้านอย่างเท่าเทียมกัน ปราศจากปิดกั้น เพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์สูงสุดและเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ในการพิจารณาไปจนถึงการตัดสินใจโดยปราศจากการบังคับไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในทุกรูปแบบ นอกจากนี้ ทางเลือกภายใต้สิทธิด้านสุขภาพไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องต่อรองที่จะส่งผลกระทบหรือไปลิดรอนสิทธิในการดำรงชีวิตด้านอื่น ๆ
การถกเถียงกันจะไม่เกิดประโยชน์อันใดหากปราศจากความเมตตาที่จะได้มอบปัญญาและทางสว่างให้แก่กัน
เรื่องของสุขภาพไม่ใช่การแข่งขันชิงแชมป์แจกถ้วยรางวัล ยกเว้นแต่หากมีใครจะหาผลประโยชน์จากมันจริงๆ โดยเฉพาะผลประโยชน์บนชีวิตของผู้อื่น
เมื่อเงื่อนไขในการดำเนินชีวิตนั้นต่างกัน สิ่งที่แต่ละคนให้ความสำคัญก็ย่อมต่างกัน
จะดีกว่าไหม หากเราลองปรับแนวคิดเพื่อทำความรู้จักกัน
เข้าใจกัน และเคารพต่อการตัดสินใจของกันและกัน
ในแบบของเขา เขาดูแลตัวเองอย่างไร
ในแบบของเรา เราดูแลตัวเองอย่างไร
มาเรียนรู้ทำความรู้จักกัน
ใช้ความต่างให้เป็นความสมดุล
เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น