เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ
ตะสายะทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กุตะกุภู ภูกุตะกุ
เหตุผลที่ยาฉีด mRNA[1]
ไม่ใช่วัคซีน
จากการโฆษณาของบริษัทยาว่า ยาฉีดยีนไวรัส หรือที่ เรียกกันผิดๆว่า mRNA1 เป็นวัคซีนนั้น
ในความเป็นจริงแล้ว
วัคซีน
คือ อะไร?
ถ้าหากสรุปง่ายๆ
คือ การนำเชื้อโรคที่มีชีวิตถูกทำให้อ่อนแรงหรือตายแล้ว หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของเชื้อโรค(แอนติเจน)
ในจำนวนน้อยๆมาใช้ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของมนุษย์
เพื่อทำให้ร่างกายมนุษย์สร้าง ความจำภูมิคุ้มกัน (immune memory) ความจำภูมิคุ้มกันนี้จะช่วยให้เม็ดเลือดขาว
(ทั้งชนิด บี และ ที เซลล์) “จดจำ” หน้าตาของเชื้อโรคได้
เพื่อที่ว่า ถ้าเราไปเจอกับเชื้อตัวนี้อีกครั้ง เม็ดเลือดขาวชนิดบีเซลล์จะสามารถ
“สร้าง”แอนตี้บอดี้ที่มีความจำเพาะต่อเชื้อนี้มาจัดการกับเชื้อได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่เม็ดเลือดขาวชนิด
ทีเซลล์ จะจดจำหน้าตาของเชื้อและสามารถจู่โจมทำลายเชื้อโรคได้ทันทีที่พบเจอเชื้อชนิดนั้นๆอีก
สาเหตุที่ต้องใช้เชื้อที่อ่อนแรง หรือตาย หรือชิ้นส่วนของเชื้อโรค
ในปริมาณน้อยๆนั้น เพื่อไม่ต้องการทำให้ วัคซีนกลับสร้างปัญหา ทำให้เจ็บป่วยซะเอง
ฉีดวัคซีนเพื่ออะไร?
ที่จริงเป็นคำถามที่ไม่ควรต้องถาม
เพราะทุกคนคงทราบดีว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ ไม่ให้แพร่เชื้อ
แต่เนื่องจากมีคนที่พยายามตะแบงว่า การฉีดวัคซีนเพื่อลดอาการป่วยหนัก
ลดการเสียชีวิต ก็เลยต้องเน้นประเด็นนี้ครับ เพราะจริงๆแล้ว
เป้าหมายหลักของการฉีดวัคซีน คือ เพื่อกันการติดเชื้อ มิเช่นนั้นตอนแรก
เขาจะพูดเรื่อง “ภูมิคุ้มกันหมู่” กันทำไมครับ จำได้ไหมครับ คำโกหก คำโตที่ว่า
ถ้าฉีดครบ 80% จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่การระบาดจะสิ้นสุด
งั้นความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อ จึงเป็นเป้าหมายหลัก
เทียบได้กับการซื้อปืนครับ เราซื้อปืนเพื่อเอามายิง แต่ปรากฏว่าปืนดันด้าน
แค่คนขายปืนบอกว่า ไม่เป็นไรครับเอาด้ามปืนฟาดข้าศึกก็ได้ ช่วยซื้อไปหน่อยเถอะ
ประเด็นคือ ถ้าซื้อปืนมาเพื่อใช้ตีหัวข้าศึก เอาเงินไปซื้อดาบดีกว่ามั้ย
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าฉีดวัคซีน เพื่อกันเจ็บหนัก กันตาย
หันไปใช้ยาที่มีประสิทธิภาพให้การรักษาดีกว่าไหม มียาดีๆที่ปลอดภัยใช้รักษาโควิดได้มากมาย
ไม่จำเป็นต้องมาใช้วัคซีนด้อยคุณภาพ แถมไม่ปลอดภัยเหล่านี้
ส่วนเป้าหมายของการฉีดวัคซีนนี้ไปอ่านดูในพระราชบัญญัติโรคติดต่อ
ได้ครับโดยให้ดูที่มาตรา ๔ “การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค หมายความว่า
การกระทำทางการแพทย์ต่อคน หรือสัตว์ โดยวิธีการใดๆ เพื่อให้คนหรือสัตว์เกิดความต้านทานโรค”
ความต้านทานโรคคืออะไร หลายคนอาจจะสงสัย ไปอ่านต่อใน มาตรา ๓๔
พระราชบัญญัติเดียวกันดูครับ มาตรา ๓๔ ข้อ (๒) “ให้ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะติดโรคได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
ตามวัน เวลา และสถานที่ซึ่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อกำหนด เพื่อมิให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไป
ทั้งนี้
หากเป็นสัตว์ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองสัตว์เป็นผู้นําสัตว์มารับการป้องกันโรค” ชัดเจนนะครับ เพื่อกันการระบาดของโรค
ไม่มีตรงไหนในพระราชบัญญัติ ฉบับนี้ ที่บอกว่า ให้ฉีดวัคซีน
(การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค) เพื่อลดอัตราการป่วยหนัก หรือ ลดการเสียชีวิต
ทำไมยาฉีดยีนไวรัส mRNA[2] ไม่ใช่วัคซีน?
- วัคซีนจะใช้ปริมาณเชื้อโรค หรือ
ส่วนประกอบของเชื้อโรค(แอนติเจน)จำนวนน้อย
ที่ควบคุมปริมาณได้แน่นอนเพื่อลดผลข้างเคียงจากการฉีด แต่ยาฉีดยีนไวรัส
(หรือที่เรียกกันผิดๆว่า mRNA)2
เป็นการฉีดที่ไม่สามารถควบคุมปริมาณ หรือ ระยะเวลาของแอนติเจน ยีนของไวรัสจะบังคับให้เซลล์สไปก์โปรตีนเป็นระยะเวลาที่นานหลังจากการฉีดโดยพบยีนสไปก์โปรตีนของไวรัสในต่อมน้ำเหลืองนานถึงสองเดือนหลังจากฉีด[1]
ต่างจากวัคซีนอื่นๆที่รู้ชัดเจนว่าเราฉีดแอนติเจนปริมาณแค่ไหนเข้าร่างกาย และมันจะอยู่ในร่างกายนานแค่ไหน
- วัคซีนจะเข้าร่างกายในจุดที่ฉีดไม่กระจายตัวไปส่วนอื่นๆของร่างกาย แต่ยาฉีดยีนไวรัส (หรือที่เรียกกันผิดๆว่า mRNA)2 จะกระจายไปทั่วตัวโดยพบยาฉีดนี้ในกระแสเลือด[2] ในต่อมน้ำเหลือง[3] นอกจากนี้การศึกษาของรัฐบาลญี่ปุ่น[4]ยังพบว่า นาโนลิปิด หยดไขมันเล็กๆที่ใช้ห่อหุ้มยีนของไวรัสยังกระจายไปยัง สมอง ไขกระดูก ต่อมน้ำเหลือง รังไข่ และอวัยวะอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งวัคซีนปกติจะไม่ทำเช่นนี้
- แอนติเจนของวัคซีนตามปกติจะไม่เข้าไปในเซลล์มนุษย์ ในวัคซีนปกติเมื่อฉีดเข้าร่างกาย แอนติเจนที่ฉีดจะไม่จำเป็นต้องเข้าไปในเซลล์ของมนุษย์แต่จะทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเลยเพื่อเป็นการลดผลเสียที่อาจเกิดขึ้น แต่ในยาฉีดยีนไวรัส บริษัทยา “ตั้งใจ”ที่จะเอาแอนติเจน หรือยีนแปลกปลอมของไวรัสให้เข้าไปเซลล์ของมนุษย์เพื่อใช้เซลล์ปกติของมนุษย์สร้างโปรตีนแปลกปลอมของไวรัสขึ้นในเซลล์ของเราเองทำให้ภูมิคุ้มกันของเราสับสนว่า ในเมื่อเซลล์ของเราเองที่สร้างโปรตีนของไวรัส แปลว่าเซลล์เราติดเชื้อไปแล้วหรือไม่ ภูมิคุ้มกันของเราเลยเล่นงานเซลล์ของเราเอง
- วัคซีนที่พัฒนาจากส่วนประกอบของเชื้อโรค จะเลือกใช้ส่วนประกอบที่ปลอดภัยไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ แต่ยาฉีดยีนไวรัส กลับเลือกใช้โปรตีนสไปก์ที่ทำให้เกิดการอักเสบของเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดแตก เส้นเลือดอุดตันได้[5] แถมโปรตีนสไปก์นี้ยังไปรบกวนการซ่อมสารพันธุกรรมของเซลล์มนุษย์อีกด้วย[6] ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเชื้อไวรัสโควิดมีโปรตีนอีกหลายอันที่สามารถใช้ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้
- วัคซีนปกติจะไม่เข้าไปเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมมนุษย์ แต่ยาฉีดวัคซีนไวรัส เข้าไปเปลี่ยนรหัสพันธุกรรมมนุษย์โดยสอดแทรกรหัสพันธุกรรมยีนสไปก์โปรตีนเข้าไปในพันธุกรรมของเซลล์ตับ[7]และการสอดแทรกดังกล่าวเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังฉีด
- วัคซีนไม่ทำให้เกิดการเสียชีวิต หรือ ความพิการถาวร ยาฉีดยีนไวรัสนี้ ทำให้เสียชีวิตได้[8] ทำให้พิการได้ ทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงได้[9] วัคซีนปกติหากเกิดเหตุการณ์เช่นว่านี้ จะถูกถอนออกจากตลาดทันที[10] แต่ยาฉีดยีนไวรัส ตัวนี้มีคนเสียชีวิตหลังฉีดเป็นพัน ๆรายแค่ในประเทศไทย ก็ยังมิได้ถูกถอนออกจากตลาด ทั้งที่ยาตัวนี้เป็นการอนุมัติใช้ฉุกเฉิน ไม่ใช่การขึ้นทะเบียนยาตามปกติ ซึ่งการอนุมัติฉุกเฉินนี้ ควรต้องมีมาตรการที่เข้มงวดในการติดตามผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการใช้ยา เมื่อพบว่ามีผลข้างเคียงรุนแรงต้องเพิกถอนการอนุมัติทันที
- ข้อสุดท้าย ยาฉีดยีนไวรัส ที่บริษัทหลอกว่าเป็นวัคซีนนี้ ไม่สามารถทำในสิ่งที่วัคซีนที่ดี ควรทำได้ คือ ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ ไม่สามารถป้องกันการแพร่เชื้อ ไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ แถมข้อมูลช่วงหลังกลับพบว่า มันทำให้คนที่ฉีดมีอาการของโควิดรุนแรงขึ้นด้วยจาก กลไก ADE ด้วยซ้ำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น