วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

วัคซีนโควิด จำเป็นสำหรับเด็กๆจริงหรือ?... เมื่อคนญี่ปุ่นก็ตั้งคำถามเดียวกัน

 




ผู้คนที่มีอาการไม่พึงประสงค์หลังจากรับวัคซีนมีครอบคลุมหลายช่วงวัย ที่น่ากังวลใจคือ จำเป็นสำหรับเด็กเล็กขนาดนั้นเชียวหรือ ในเมื่อแม้แต่ผู้ใหญ่ยังพบผู้ได้รับความทุกข์ทรมานทางกายตามมาภายหลัง ที่ญี่ปุ่นก็เป็นอีกประเทศที่ตั้งคำถามถึงความจำเป็นนี้ จนสื่อสิ่งพิมพ์ในญี่ปุ่นหลายสำนักพากันลงข่าวถึงผลข้างเคียงที่พบทั้งในผู้ใหญ่และเด็กอายุตั้ง 12 ปี ซึ่งได้รับไปแล้วก่อนหน้านี้  และเมื่อกระทรวงสาธารณสุขและแรงานของญี่ปุ่นได้อนุมัติให้ครอบคลุมไปถึงเด็กเล็กวัย 5 - 11ปี  บรรดาสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหลายจึงพากันทำสกู้ปตั้งคำถามเตือนประชาชานและเพื่อสะท้อนเสียงกลับไปยังภาครัฐ
นิตยสาร Josei Seven เป็นสื่อสิ่งพิมพ์สำนักหนึ่งที่ทำสกู้ปข่าวเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง  จึงขอนำสกู้ปล่าสุดมาให้อ่านกัน

〰〰〰〰〰〰〰〰〰〰〰〰〰〰〰〰

            ร่างกายผิดปกติไปจากเดิมหลังจากฉีดวซ ทั้งๆที่ฉีดไปเพื่อหน้าที่การงาน หรือเพื่อครอบครัวแท้ๆ

            นิตยสาร Josei Seven ของญี่ปุ่น ฉบับ 3 กุมภาพันธ์ 2022 (การวางแผงนิตยสารในญป. จะวางแผงเร็วกว่าวันที่ระบุฉบับที่) ได้ยกประเด็นความทุกข์ทรมานของผู้คนที่มีอาการลงในคอลัมน์เรื่อง “อาการที่เกิดขึ้นภายหลังของวซนั้นน่าสะพรึงกลัวกว่าโควิด” ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น ยังมีเด็กๆอีกด้วยที่สภาพร่างกายผิดปกติจนไม่สามารถไปโรงเรียนได้หลังจากฉีดวซไปแล้ว

จากเด็กที่เคยร่างกายแข็งแรงดี ถ้าจู่ ๆวันหนึ่งสุขภาพกลับย่ำแย่มาถึงจุดที่ไม่สามารถไปโรงเรียนได้  หากเป็นพ่อแม่ที่มีลูก คงจะเข้าใจดีถึงความเจ็บปวดใจนี้

ที่ผ่านมา อายุที่อนุมัติให้ฉีดวซโควิดได้คือตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป  แต่ทว่า เมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา  กระทรวงสาธารณสุขและแรงงาน ด้วยการประชุมของผู้เชี่ยวชาญ ได้ทำการอนุมัติเด็กตั้งแต่อายุ 5 ปีอยู่ในกลุ่มที่ต้องฉีด โดยมีกำหนดการณ์จะเริ่มต้นฉีดให้กับเด็กกลุ่มนี้กลางเดือนมีนาคม

อย่างไรก็ตาม วซมีความจำเป็นครอบคลุมไปถึงเด็กเล็กด้วยจริงหรือ ตามรายงานของนิตยสารนี้ ฉบับดังกล่าว ได้รายงานว่า มีผู้มีอาการที่เกิดขึ้นภายหลังจากฉีด ซึ่งไม่เว้นแม้แต่เด็กช่วงวัย 10 -19 ปีด้วย ไม่ใช่แค่พ่อแม่ แต่ผู้ใหญ่(ผู้ปกครอง)ที่มีความรับผิดชอบต่ออนาคต ก็น่าจะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในเด็กๆที่ฉีดไปก่อนหน้านี้แล้ว นักข่าวชื่อ โทรุ โทริดามาริ และทีมสัมภาษณ์ของนิตยสาร Josei Sebun รายงาน

 

เนื้อหาในตำราเรียนไม่เข้าหัว

ดช. H (อายุ 13 ปี) อาศัยอยู่ในภูมิภาคคันโต เป็นนร.มัธยมต้นที่ไปโรงเรียนอย่างมีพลังทุกวัน สุขภาพแข็งแรงทำกิจกรมมชมรมได้เต็มที่ แต่ทว่า หลังจากฉีดไปแล้วช่วงหลายปีก่อน แทบจะไปโรงเรียนไม่ได้เลย พ่อแม่ของดช. H ได้เล่าว่า

“เพราะได้ดูข่าวจากทีวีว่ามีเด็กที่ทุกข์ทรมานจากอาการที่เกิดขึ้นภายหลังของโควิด เลยรู้สึกกลัวจึงให้ลูกไปฉีด หลังจากไปฉีดวซที่โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ ๆ ตอนอยู่ในรถระหว่างทางกลับบ้านลูกก็มีอาการง่วงผิดปกติ นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่ต่างจากปกติ กินอาหารค่ำได้ตามปกติด้วยเช่นกัน

วันถัดมา ต้องนอนพักเพราะมีไข้รุมๆ  วันที่ 2 ไข้ก็ลดลงแล้ว และออกไปปั่นจักรยานกับเพื่อน ๆที่รับปากกันไว้  แต่ระหว่างทางกลับบ้าน ลูกรู้สึกเหนื่อยอ่อนมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ในที่สุดก็พาตัวเองกลับมาบ้านพร้อมจักรยานจนได้”

         จากนั้นก็อาบน้ำเลยทันที หลังจากอาบน้ำเสร็จได้ไม่นาน เหงื่อก็เริ่มออกมาก พอวัดอุณหภูมิร่างกายแล้ว มีไข้เกือบ ๆ 38องศา จากนั้นเป็นต้นมา แม้จะผ่านไป 4 เดือนแล้ว ตอนนี้ก็ยังมีอาการอ่อนระโหยโรยแรงอยู่

“อุณหภูมิร่างกายผันผวนขึ้นลงอย่างมาก ถึงระดับ 35 องศา และแม้แต่ตอนนี้ ก็ยังคงมีไข้ประมาณ 37.5 องศา  นอกเหนือจากตอนกินอาหารแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะนอน  จึงเป็นห่วงว่าจะเรียนไม่ทัน เลยบอกให้เขาอ่านหนังสือเรียน แต่ลูกบอกว่าไม่สามารถจดจ่อได้อย่างต่อเนื่อง อ่านอย่างไรก็ไม่เข้าหัว แม้แต่การทำงานของโทรศัพท์มือถือก็งงๆ เลยได้แต่นั่งจ้องหน้าจออยู่อย่างนั้น”

ความผิดปกติของดช. H ไม่ได้มีเพียงเท่านี้

“เดิมทีจะเป็นเด็กที่ชอบกินแฮมเบอร์เกอร์ สเต็ก เนื้อย่าง แต่ตั้งแต่ร่างกายผิดปกติไป ก็บอกว่าไม่อยากกิน จะยอมกินเฉพาะผักหรือเนื้อไก่ฉีกที่ต้มในน้ำซุปรสชาติอ่อนๆเท่านั้น  อาจเป็นเพราะไม่ได้ออกกำลังกาย เลยไม่ค่อยอยากอาหาร กินได้ในปริมาณน้อย

หลังจากนั้น กลายเป็นว่ามีความรู้สึกไวมากต่อเสียงและความเจ็บปวด แค่เรียกชื่อก็ยังกลัวจนตัวสั่นก็มี พอถามว่าทำไม ลูกก็ตอบว่า รู้สึกถูกเรียกกะทันหัน เพราะเหม่อลอยอยู่ตลอด  อีกทั้งเพราะไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างเพียงพอ ดิฉันเลยคิดว่าจะนวดให้ แต่แค่ตีเบาๆที่หลัง ก็รู้สึกเจ็บปวดมาก”

 

วันที่ไปโรงเรียนได้ก็มี แต่ไม่สามารถจดจ่อกับการเรียนได้ และกลับมาบ้านในสภาพอิดโรย ให้ออกไปข้างนอกด้วยกัน อย่างพาสุนัขไปเดินเล่น ใช้เวลาไป 30 นาที พอกลับมาก็ล้มตัวลงนอนแล้วบ่นว่าเหนื่อย

“เพราะหยุดเรียนมาตลอด เวลาออกไปข้างนอกก็รู้สึกไม่ดีเวลาเจอเพื่อนร่วมชั้น ดูเหมือนมีความท้อแท้ ทั้งการเรียนช้าไม่ทันเพื่อน และกับสภาพร่างกายที่ไม่ปกติ  จะมีวิธีการใดบ้างหนอที่จะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้”

 

ยังมีนักเรียนมัธยมต้นที่อยู่ในภูมิภาคคันโตคนอื่น ๆ อีกที่ไม่สามารถไปโรงเรียนได้เนื่องจากปวดหัวอย่างรุนแรงหลังจากที่ฉีดมาแล้ว จากอีเมลที่ตอบกลับมาจากบรรดาผู้ปกครองโดยมีเงื่อนไขไม่ให้มีการเปิดเผยอายุและเพศ

 

“เริ่มมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงโดยทันทีหลังจากไปฉีดครั้งที่ 2 เมื่อต้นเดือนพ.ย. ปีก่อน  แม้จะกินยาแก้ปวดที่หมอประจำครอบครัวสั่งให้ ก็ไม่ได้ผลเลย ผ่านไป 1 สัปดาห์ก็ยังไม่หาย  พอไปรับการตรวจซ้ำ หมอกลับบอกว่าไม่ได้เป็นผลมาจากวซ  ขอให้ใช้โทรศัพท์มือถือแค่พอประมาณ และหมั่นกินตับ ทั้ง ๆที่ดิฉันก็ไม่ได้ให้ลูกใช้โทรศัพท์มือถือ”

            ตอนที่ไปตรวจซ้ำก็สั่งยาแก้ปวดตัวอื่นมาให้ แต่แม้ว่าจะผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ก็ยังไม่หาย คราวถัดมาก็ไปตรวจที่แผนกศัลยกรรมประสาทที่โรงพยาบาลทั่วไปตามคำแนะนำของเภสัชกรที่จ่ายยาให้  แต่ที่นั่นก็ตรวจออกมาเหมือนกันว่าไม่เกี่ยวกับวซ

“แม้จะผ่านไป 3 สัปดาห์แล้วแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น เลยไปตรวจที่แผนกศัลยกรรมประสาทอีกครั้ง โดยร้องขอให้ตรวจสอบอย่างละเอียดขึ้นอีกเพราะมันเป็นเรื่องผิดปกติที่ปวดศีรษะแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง  ทว่า คุณหมอกลับบอกว่า ผลข้างเคียงจากวซไม่น่าจะออกมาแบบนี้ ทางเราจ่ายได้แค่ยาแก้ปวดเท่านั้น  เลยร้องขอให้เขาตรวจสมองด้วยการ MRI ทางรพ.จึงยอมทำให้

ผลไม่พบความผิดปกติใดๆ  คุณหมอกลับปฏิเสธออกมาว่า ไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่านี้แล้ว หากยังคงยืนยันว่าเป็นผลมาจากวซ ขอให้ไปหารพ.ที่สามารถตรวจให้ได้เอาเองละกัน”

ในที่สุดตอนปลายปี ด้วยการแนะนำจากคนที่รู้จักจึงได้พบรพ.ที่กรุณารับตรวจให้ นับเป็นครั้งแรกที่ได้รู้สึกว่าครอบครัวได้รับการช่วยเหลือ แต่ก็เป็นการรักษาแบบลองผิดลองถูก ปัจจุบันอาการที่เป็นอยู่ก็ยังเหมือนเดิม

“ลูกพยายามไปโรงเรียนแล้ว แต่ไม่อาจอดทนต่ออาการปวดหัวได้ สุดท้ายก็เรียนไม่ไหว ทุกวันต้องเลิกเรียนเร็วให้พ่อแม่มารับ เราที่เป็นพ่อแม่ก็แทบจะทรุดไปด้วยเหมือนกันต่อสภาพที่มองไม่เห็นว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ใช้ชีวิตแต่ละวันไปได้จากกำลังใจจากครอบครัว”

 

แม้แต่การเสียชีวิตหลังจากฉีดก็เช่นกัน “ไม่มีสาเหตุที่เกี่ยวข้อง”

เมื่อฤดูกาลสอบเข้ามาถึง ทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ก็ต่างออกข่าวเรื่องการให้นร.ที่จะเข้าสอบได้ฉีดก่อน และ ข่าวการปิดโรงเรียนเนื่องจากโอไมครอน แต่กลับไม่มีรายงานข่าวที่เผยถึงเสียงของเด็กๆที่ได้รับความทุกข์ทรมานหลังจากฉีดวซเลย แต่กรณีเช่นนี้ของพวกเด็กๆก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุขและแรงงาน ทุกๆ 3 สัปดาห์จะมีการเปิดประชุม อนุกรรมการวซกับการฉีดป้องกัน และอนุกรรมการทบทวนผลข้างเคียง และเผยแพร่จำนวนรายงานอาการไม่พึงประสงค์ที่น่าสงสัยที่ได้รับรายงานมาจากสถาบันทางการแพทย์และบริษัทผู้ผลิตยา  ตามจำนวนล่าสุดที่เผยแพร่ไปเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2022  จำนวนกรณีที่รายงานว่ามีความรุนแรงหลังจากฉีดวซ ในวัยรุ่น มีเพิ่มขึ้นถึง 387 ราย

นิยามคำว่า “ความรุนแรง” ของกระทรวงสาธารณสุขและแรงงาน หมายถึง กรณีจำเป็นต้องเข้ารพ. และเสียชีวิต หรือมีแนวโน้มจะอยู่ในสภาพผิดปกติหรือตกอยู่ในสภาพผิดปกติอย่าถาวร และรู้ได้ถึงสภาพที่ไม่เป็นปกติ   ยิ่งไปกว่านั้น ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่ายังมีอีกหลายเคสที่ไม่ได้รับการรายงาน เนื่องจากแพทย์ไม่ยอมรับถึงความสัมพันธ์กับวซ

            เคสที่ถึงขั้นเสียชีวิตหลังจากฉีดในช่วงวัย 10 – 19 ปีมีรายงานถึง 5 ราย 

            หนึ่งในนั้น เป็นเด็กอายุ 13 ปี ที่อาศัยอยู่ในเมืองคามาคุระ จังหวัดคานางาวะ  ในวันที่ 30 ต.ค. 2021 เด็กคนนี้กลับมาบ้านหลังจากได้รับเข็มที่ 2   กินอาหาร 2 ชั่วโมงครึ่งหลังจากนั้น   4 ชั่วโมงหลังจากนั้นได้อาบน้ำตอนประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ  แต่ครอบครัวมาพบว่ากำลังจมอยู่ในอ่างอาบน้ำ จึงนำตัวส่งรพ. และได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิต ครอบครัวของเด็กที่เสียชีวิตได้อ่านข้อความในที่ประชุมเมือง เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.

“ขอขอบคุณมากที่ออกมาเตือนและยกประเด็นการเสียชีวิตของเด็กช่วงวัย 10 – 19 ปี หลังจากฉีดวซโควิดขึ้นมา ลูกๆอันแสนล้ำค่าของดิฉัน หลายชั่วโมงหลังจากที่ไปฉีดวซมา กลับมีลักษณะผิดปกติอย่างฉับพลัน และได้จากโลกนี้ไปเสียแล้ว นับแต่นั้นมา ไม่ว่าอะไรก็ไม่อาจไว้ใจได้ แม้แต่เสียงใครก็ไม่รับรู้ ใช้ชีวิตอย่างทุรนทุราย ทั้งเจ็บปวดใจ และโศกเศร้า

ปรารถนาเหลือเกินที่จะทำให้หลักฐานในการเคยมีชีวิตอยู่ของลูกให้มีความหมายที่สุด ในที่สุดฉันก็เริ่มมีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาจนได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง ได้โปรดส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้องให้เป็นวงกว้าง อย่างน้อยก็ขอให้ปกป้องรักษาร่างกายที่แข็งแรง และชีวิตของหนุ่มสาวทั้งหลายที่ยังมีอนาคต”

 

            เมื่อดูกรณีตัวอย่างของเด็กชายที่ได้รับการตีพิมพ์ในรายงายของคณะอนุกรรมการทบทวนผลข้างเคียงของกระทรวงสาธารณสุขและแรงงาน สถาบันทางการแพทย์สรุปว่ามีความเกี่ยวข้องกับวซ แต่หน่วยงานที่ชันสูตรพลิกศพตัดสินว่าไม่สามารถประเมินได้

            ส่วนการประเมินเมื่อวันที่ 21 ม.ค. โดยผู้เชี่ยวชาญของคณะอนุกรรมการเดียวกัน มีการบันทึกไว้ว่า “แม้จะพิจารณาได้ว่าเกิดหัวใจเต้นผิดปกติถึงขั้นเสียชีวิตจากอาการที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน แต่จากผลของ Troponin (การตรวจสอบกล้ามเนื้อหัวใจตาย และกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ) จึงพิจารณาว่ามีความเป็นได้น้อยถึงความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจและสรุปผลว่าไม่สามารถประเมินได้ถึงสาเหตุการตายที่มีความสัมพันธ์กับวซเนื่องจากข้อมูลไม่เพียงพอ” 


แต่จะดีเหรอที่เราจะปล่อยให้กรณีที่เสียชีวิตเลยในวันที่ฉีด สรุปว่าไม่ทราบสาเหตุ?  

            นพ. เซจิ โคจิมะ ศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ (แผนกกุมารเวช) มหาวิทยาลัยนาโงย่า ผู้เกี่ยวข้องในการวิจัยและรักษามะเร็งในเด็ก เช่น ลูคีเมีย และเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาพันธุกรรมบำบัด (Gene Therapy) ที่ได้ประยุกต์เทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกับวซโควิด กล่าวว่า

            “โดยพื้นฐานแล้ว วซมีไว้สำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรงและสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติจนถึงตอนนั้น หากเสียชีวิตในวันที่ไปฉีดมา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ครอบครัวจะสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับวซหรือไม่

แม้ว่าจะทำการตรวจสอบต่างๆแล้ว หากไม่พบความผิดปกติ หากพิจารณาปัจจัยอื่นๆไม่ได้ พื้นฐานของพยาธิวิทยาคือการพิจารณาหาว่าสิ่งนี้แหละเป็นสาเหตุ เคสที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ไม่อาจจะบอกได้ว่าไม่เกี่ยวกับวซ ผู้ป่วยนอกของผมก็เช่นกัน มีอาการเหนื่อยอ่อนหลังจากฉีดมา คนไข้ที่เป็นเด็กๆที่หยุดเรียนไปถึง 2 สัปดาห์ก็มี”

            วซโควิดที่มาจากไฟ-และโม- มีองค์ประกอบหลักเป็นยีนของโปรตีนไวรัสที่ถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน ด้วยการฉีดเข้าไปในร่างกาย ยีนที่ถูกไขมันห่อหุ้มไว้จะเข้าไปในเซลล์ของร่างกาย เซลล์นั้นๆ จะเริ่มสร้างโปรตีนสไปค์ที่เป็นหนามยื่นออกมาซึ่งอยู่บนผิวของตัวไวรัส  เมื่อเซลล์ภูมิคุ้มกันตรวจจับสิ่งนี้ได้ แอนตี้บอดี้จึงสามารถต่อต้านไวรัสในร่างกายได้

            แม้แต่ในนิตยสาร Josei Seibun ฉบับวันที่ 3 ก.พ. 2022 ยังได้นำเสนอความคิดเห็นของทั้งแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยาว่า โปรตีนสไปค์น่าจะเป็น trigger ของอาการที่เกิดขึ้นภายหลังของวซ ซึ่งนพ. เซจิ โคจิมะก็ชี้ให้เห็นถึงความเป็นได้นี้เช่นกัน

“เป็นที่ทราบกันว่าเมื่อติดเชื้อโควิดแล้ว จะเกิดอาการอักเสบเนื่องจากสารที่หลั่งมาจากเซลล์ภูมิคุ้มกัน เกิดเป็นปรากฏการณ์ Cytokine Storm ที่ทำให้อวัยวะภายในเสียหาย แม้ภาพรวมทั้งหมดยังไม่กระจ่างชัดแต่โปรตีนสไปค์ที่ถูกสร้างมาจากวซก็สามารถก่อให้เกิด Cytokine Storm และอาจมีความเป็นไปได้ของปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการเหนื่อยอ่อน จากรายงานการวิจัยทั้งในและต่างประเทศก็บอกไว้”

 

ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ นพ. เซจิ โคจิมะจึงออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่มีมากกว่าผลดีในการฉีดให้เด็ก

“เดิมที แม้เด็กติดโควิด ส่วนใหญ่อาการเบาและไม่แสดงอาการ จากข้อมูลปัจจุบันเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่จังหวัดไอจิ  มีเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปี มากกว่า 2 หมื่นคนที่มีผลตรวจเป็นบวก  และไม่มีวัยรุ่นคนใดที่ป่วยหนัก  ในทางกลับกัน กลับมีวัยรุ่นไม่น้อยที่มีความทุกข์ทรมานจากอาการที่เกิดขึ้นภายหลัง หรือเสียชีวิตหลังจากการฉีด”

            จากเคสทั่วประเทศญี่ปุ่น จำนวนเด็กวัยรุ่นที่มีอาการถึงชีวิตจากการติดโควิดมีเพียง 4 ราย  ณ ปัจจุบัน รายงานการเสียชีวิตหลังจากฉีดมีจำนวนลดลง เป็นเรื่องยากสำหรับเด็กเล็กที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง  ดังนั้น เรื่องนี้จึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน

 

ที่มา: https://www.news-postseven.com/archives/20220128_1722604.html?DETAIL








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น