วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

นโยบายการจัดการกับโควิด -๑๙ ของประเทศไทยหลังการรับวัคซีนกับข้อเท็จจริงที่ถูกมองข้าม

      

 

        บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงทางสถติของสัดส่วนประชากรที่ติดเชื้อโควิด-๑๙  ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศหลังการรับวัคซีน  เพื่อเป็นข้อมูลให้ทั้งภาครัฐ สื่อมวลชน และ ประชาชน ได้ทบทวนมาตรการการเช็คประวัติการรับวัคซีนในการเดินทาง การใช้บริการจากหน่วย งานรัฐ เอกชน การสมัครเข้าทำงาน ว่าควรมีอยู่หรือไม่ในสังคมไทย รวมถึงประเด็น ที่ควรพิจารณาอย่างเร่งด่วน นั่นคือ นโยบายรับวัคซีนของเด็ก

        โดยบทความนี้จะใช้ข้อมูลทางสถติของจำนวนประชากรทั้งหมด จำนวนประชากรที่รับวัคซีน และ จำนวนประชากรทที่ติดโควิดมานำเสนอ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีที่มาทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ

การใช้วัคซีนโควิด-๑๙ ในการรับมือกับปัญหาโควิดในประเทศไทย 

         ประเทศไทยเริ่มมีการฉีดวัคซีน มาตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๔ และดูเหมือนว่า รัฐบาลไทยเลือกที่จะใช้การฉีดวัคซีนเป็นแนวทางหลักในการแก้ปัญหาโควิดจนถึงปัจจุบัน โดยขาดการพิจารณาสถิติและข้อมูล ทั้งจากประเทศฝั่งตะวันตกทที่รับวัคซีนก่อนเรา หรือจากข้อมูลในประเทศที่แจ้งสัดส่วนประชากรผู้ติดโควิด-๑๙ หลังจากการระดมฉีดไปแล้ว เพื่อทบทวนและปรับนโยบาย การจัดการต่อโรคให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทั้งในแง่สุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมต่อไป 


Inform & Consent ขั้นตอนที่ถูกละเลย 

        แม้ว่า ในช่วงต้นปี๒๕๖๓ ซึ่งเป็นช่วงของการระบาดของไวรัสโควิด-๑๙  ทางรัฐบาลได้มีแนวทางทั้งการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ที่มีหลักฐานว่าสามารถดูแลผู้ป่วยโควิดในเรือนจำเชียงใหม่ได้ทั้งสี่พันกว่าราย และไม่มีผู้เสียชีวิต  แต่แนวทางการใช้ทางเลือกต่าง ๆ และการดูแลตนเองให้มภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่แข็งแรงกลับค่อยๆเลือนหายไปจากสื่อกระแสหลัก คงเหลือเพียงการประโคมข่าวการตรวจหาเชื้อจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน ยอดสะสม คลัสเตอร์ต่าง ๆ  Time Line ซึ่งเป็นการเน้นให้เกิดความตื่นกลัวมากกว่าการให้ความรู้กับประชาชน จากนั้นก็มีการพูดถึงการสั่งซื้อวัคซีนโควิด-๑๙ ยี่ห้อต่างๆ และช่วงเวลาที่จัดสรรวัคซีนให้แก่ประชาชน   แต่หลงลืมที่จะให้ข้อมูลที่สำคัญกว่าวัคซันโควิด -๑๙ ที่นำมาใช้ทั่วไป คือวัคซีนฉุกเฉินที่อยู่ในขั้นทดลอง ก่อนที่ประชาชนจะได้ลงชื่อยินยอมรับวัคซีนนี้เข้าร่างกาย


อ้างอิง https://www.healthline.com/health-news/heres-exactly-where-were-at-with-vaccines-and-treatments-f or-covid-19  เว็บไซด์healthline  ณ วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕



        บริษัทประกาศเมื่อปลายเดือนตุลาคมว่าได้เสร็จสิ้นการสรรหาผู้เข้าร่วมการทดลองเฟส ๓ ทั้ง ๓๐,๐๐๐ คนแล้ว ซึ่งรวมถึงผู้คนมากกว่า ๗,๐๐๐ คนที่มีอายุเกิน ๖๕ ปีและคนอายุน้อยกว่า ๕,๐๐๐ คนที่เป็นโรคเรื้อรังที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ที่รุนแรง

        ในช่วงต้นเดือนตุลาคม เจ้าหน้าที่ของบริษัทประกาศว่า วัคซีนของพวกเขาจะไม่มีจำหน่ายในวงกว้างจนถึงฤดูใบไม้ผลิปี ๒๐๒๑ ปลายเดือน  CEO ของ Moderna บอกกับนักลงทุนว่า ข้อมูลการทดลองและคณะกรรมการตรวจสอบความปลอดภัยสามารถเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลการ ศึกษาในเดือนพฤศจิกายน

        ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ของ Moderna รายงานว่าวัคซีนของพวกเขา บรรลุอัตราที่ได้ผลร้อยละ 94 ในผลการทดลองระยะที่ 3 เริ่มแรก  ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าจำเป็นต้องมีการทดสอบและข้อมูลเพิ่มเติม

        เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ของ Moderna กล่าวว่าพวกเขาจะยื่นขอวัคซีนกับ FDA เพื่อขออนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน

        จากข้อมูลข้างต้น คำจำกัดความของวัคซีนเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินตามความหมายของ FDA คือ ผู้รับวัคซีนจะได้รับอนุญาตให้ได้รับวัคซีน เฉพาะในช่วงระยะเวลาของการประกาศว่ามีสถานการณ์ที่สมเหตุสมผล ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ไม่เคยถูกนำมาพูดถึงให้ประชาชนรับทราบตามคำอธิบายเกี่ยวกับวัคซีนกรณีฉุกเฉิน (Approved for Emergency use)

อ้างอิงคำอธิบายเกี่ยวกับความหมายของวัคซีนกรณีฉุกเฉิน https://www.pfizer.com/news/press-release/press-release-detail/pfizer-and-biontech-initiate-study-evaluate-omicron-based

ข้อมูลจากเว๊บไซด์ของบริษัท Pfizer ณ วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕

 

การใช้ข้อมูลทางสถิติ “จำนวนรับวัคซีนแล้วติดโควิด” ในการทบทวนนโยบายของรัฐ

ตารางที่ ๑ ประชากรในประเทศไทยรับวัคซีนแล้วกว่าร้อยละ ๗๕ 



ตารางที่ ๒


บาร์สีฟ้า แสดงถึงผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-๑๙) ที่ฉีดวัคซีนครบ ๒ โดสแล้ว

บาร์สีน้ำเงิน แสดงถึงผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-๑๙) ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนครบ หรือที่ไม่ได้แจ้งสถานะการฉีดวัคซีน



        สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี  รายงานสถานการณ์ "โควิดวันนี้" ผู้ป่วยยืนยันโควิด19 จ.นนทบุรี ประจำวันที่ 28 มกราคม 2565 จำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด 438 ราย  เพศหญิง 248 ราย เพศชาย 190 ราย ต่างชาติ 4 ราย (ลาว 4 ราย) มีอาการ 217 ราย คิดเป็น 49.54% ไม่มีอาการ 221 ราย คิดเป็น 50.46%

ประวัติการรับวัคซีนของผู้ติดเชื้อ

     รับวัคซีนเข็มที่ 1 แล้ว 14 ราย 3.09 %

     รับวัคซีนเข็มที่ 2 แล้ว 235 ราย 53.65 %

     รับวัคซีนเข็มที่ 3 แล้ว 40 ราย 9.13 %

     รับวัคซีนเข็มที่ 4 แล้ว 4 ราย 0.91%

(มีประวัติรับวัคซีน 293 ราย 66.89%) ไม่เคยได้รับวัคซีน 145 ราย 33.10%

อ้างอิง https://www.bangkokbiznews.com/news/985316             


เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลจากตารางที่ ๑ , ๒ และสัดส่วนของผู้ที่ติดโควิดจากสำนักงาน สาธารณสุขจังหวัดนนทบุรีข้างต้น แสดงให้เห็นว่าผู้ที่รับวัคซีนแล้วมีสัดส่วนการติดโควิด มากกว่าผู้ที่ยังไม่รับวัคซีน ซึ่งเป็นในทิศทางที่สอดคล้องกันกับข้อมูลจากรัฐเมสซาชูเซตส์

 

ความเสี่ยงที่ประชาชนต้องเผชิญกับนโยบายแก้ปัญหาโควิดโดยใช้วัคซีนเป็นทางออกเดียว

ตารางที่ ๓

ยอดผู้ได้รับผลข้างเคียง (ที่เข้าเกณฑ์) จำนวนทั้งสิ้น ๑๓,๙๐๔ ราย และรัฐจ่ายเงินช่วยเหลือไปแล้วกว่า ๑,๒๐๐ ล้านบาท 


ข้อมูลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ณ วันที่  ๓๐ มกราคม ๒๕๖๕

 https://subsidy.nhso.go.th/subsidy/#/dashboard


        หลักฐานที่ได้แสดงมาจากแหล่งข้อมูลทั้งในไทยและต่างประเทศ ทั้งทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทางปรากฏการณ์จริง ทางสถิติ จากหน่วยงานสําคัญพร้อมการยืนยันโดยบุคคลสําคัญในหน่วยงานเหล่านี้ล้วนพิสูจน์ว่า

๑.วัคซีนไม่ได้สามารถป้องกันการติดหรือการแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-๑๙) ได้

โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ ๒ โดสไปแล้ว ยังสามารถติด และแพร่เชื้อไม่ต่างกับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน และในหลายกรณีกลับติดเชื้อและแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-๑๙) มากกว่าผู้ไม่ได้ฉีดวัคซีน

ขณะนี้จึงเหลือเพียงข้ออ้างที่ว่า วัคซีนช่วยให้ลดอาการจากหนักเป็นเบา แต่ถ้าได้พิจารณา ตามตารางที่ ๓ ที่แสดงให้เห็นถึงจำนวนประชากรไทย ที่รับวัคซีนมาแล้ว เกิดผลข้างเคียงกับร่างกาย กว่าหมื่นราย ยังไม่รวมผู้ที่ไม่เข้าข่าย ผู้ที่ถูกแพทย์ปฏิเสธว่าอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับวัคซีน (แม้ว่าก่อนรับวัคซีนจะมี ร่างกายแข็งแรง ปกติดี) และผู้ที่เกิดผล ข้างเคียงแต่ไม่ได้แจ้งกับแพทย์หรือ สปสช  คำถามคือ แนวทางการจัดการกับโรคไวรัส โคโรน่า(Covid-๑๙) ที่ใช้อยู่ขณะนี้ รัฐทำถูกทางแล้วหรือไม่?


แหล่งข่าว ไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/news/local/2185415

๒.วัคซีนไม่ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

ด้าน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมาร เวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กระบุถึงภูมิคุ้มกันหมู่ว่า ปัจจุบันเห็นได้ชัดแล้วว่า วัคซีนทุกชนิดไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ เพียงแต่ลดความรุนแรงของโรค ลดอัตราการตายและผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วกับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน เมื่อติดเชื้อปริมาณไวรัสที่อยู่ในตัวสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ ดังนั้นวัคซีนที่ใช้ในขณะนี้ ไม่สามารถทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้ เพราะถึงแม้มีภูมิคุ้มกันก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลงตลอดเวลา แต่ลดความรุนแรงของโรคได้ พร้อมระบุด้วยว่าการฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ไม่สามารถนำมาใช้ได้ในขณะนี้ ทั้งๆที่แต่เดิมคิดว่าถ้าประชากรได้วัคซีนถึง 70 เปอร์เซ็นต์ แล้วโรคจะทุเลาลง แต่ความจริงแล้ว ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้มากแล้วยังพบการระบาดของโรค พร้อมยกตัวอย่าง สหรัฐอเมริกา และอิสราเอล


สิ่งที่รัฐบาลควรทบทวนต่อนโยบายการจัดการกับโควิด-๑๙ ของประเทศไทย

“ฉีดวัคซีนเพื่อส่วนรวม” ข้ออ้างที่ต้องทำให้กระจ่างและต้องหยุดใช้

        จากข้อมูลข้างต้นทั้งหมด แน่นอนว่าช่วงแรกของการใช้วัคซีน ข้อมูลด้านประสิทธิภาพของวัคซีน หรือผลข้างเคียงอาจไม่มากพอ  นโยบายที่รัฐเร่งให้ฉีดวัคซีนเพื่อหวังว่าจะทำให้กันติด กันแพร่ หรือแม้แต่เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ดูจะเป็นเรื่องสมเหตุผล และประชาชนจำนวนหนึ่งก็สมัครใจที่จะรับวัคซีน เพราะหวังว่าจะเกิดผลที่คาดหวังดังกล่าว จนกระทั่งเกิดแนวคิดแบ่งแยก รังเกียจว่ากลุ่มคนที่ไม่รับวัคซีนนั้นเห็นแก่ตัว ไม่ทำเพื่อสังคม แต่เมื่อการใช้วัคซีนเป็นไปอย่างแพร่หลาย และนานพอที่จะทำให้ได้รับข้อมูลที่แท้จริงมากขึ้น จนสามารถสรุปได้ว่า วัคซีนไม่ได้กันติด กันแพร่ และไม่ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

 

ควรปรับเปลี่ยนมาตรการรัฐ เมื่อประสิทธภาพของวัคซีนไม่เป็นตามคาด

        เมื่อไม่มีหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ใดรองรับ การใช้มาตรการมีลักษณะแบ่งแยก ๒ มาตรฐาน อันเกิดจาการใช้เกณฑ์การรับวัคซีนเป็นตัวกำหนดจึงเหมือนการสนับสนุน ให้ประชาชนจำต้องยอมรับมาตรการดังกล่าวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาวะของคนในสังคม แต่เป็นมาตรการที่มีลักษณะเหมือนกฎหมู่ มากกว่ากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ

        รัฐควรสื่อสารให้เกิดความเข้าใจต่อผลของการรับวัคซีนที่เกิดขึ้นนี้ และยกเลิก มาตรการการเข้ารับบริการ และใช้สถานที่ต่าง ๆ โดยใช้ข้อมูลในการรับวัคซีน ของแต่ละบุคคล เพราะเป็น มาตรการที่ขัดต่อหลักจริยธรรมจนกระทั่งเกิดคำถาม แก่ประชาชนว่ารัฐมีส่วนได้เสียใด กับบริษัทผู้ผลิตวัคซีน หรือไม่อย่างไร? ที่ทำให้ รัฐต้องใช้มาตราการเข้มงวดในการแสดงผล การรับวัคซีนอย่างที่เป็นอยู่ มาตรการดังกล่าว ไม่ส่งผลใด ๆ ต่อการติด หรือแพร่โรคต่อสังคม ซึ่งขัดกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของการรับวัคซีน แต่มาตรการ แสดงผลรับวัคซีนนี้เป็นเพื่อใช้การ รับวัคซีน มาเป็นข้อต่อรอง และให้อภิสิทธิแก่ประชาชนชน กลุ่มหนึ่ง (กลุ่มที่บริษัทวัคซีนได้ผลประโยชน์) แต่กลั่นแกล้ง ลดทอนคุณค่า ทำให้ประชาชนอีกกลุ่มต้องลำบากในการใช้ ชีวิตประจำวัน การเข้าเรียน การทำงาน การเดินทาง การเข้ารับบริการ จากภาครัฐหรือเอกชน ซึ่งเป็นการละเมิดลิดรอนสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียม ที่พึงมีของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ

        แนวทางล่าสุดของการจัดการสถาณการณ์โควิด รัฐบาลได้สั่งวัคซีน กว่า ๓ แสนโดส เพื่อพร้อมฉีดให้เด็กวัย ๕-๑๑ ปี จึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้น และจากผลการใช้ วัคซีนในผู้ใหญ่หรือไม่? เหตุใดรัฐบาล สาธารณสุข ศบค. จึงไม่แสดงออกถึงความพยายามในการใช้แนวทางอื่น ๆ ในการดูแลสุขภาวะของประชาชน นอกเหนือไปจากการย้ำคิด ย้ำทำ และมุ่งหวังจะใช้เพียง “วัคซีนขั้นทดลองและเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน” มาแก้ปัญหาให้กับสังคมไทย

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น