วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ทบทวน immunology 101

 เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ ตะสายะทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กุตะกุภู ภูกุตะกุ 



1.   Live vaccine คือวัคซีนที่กระตุ้นภูมิได้ดีที่สุด ใครๆก็รู้ การติดเชื้อคือ ได้ live vaccine นั่นเอง ทำไมไม่เห็นมีใครบอกว่า ถ้าติดเชื้อแล้ว ไม่ต้องฉีดวัคซีน

2.   หลังจากการติดเชื้อ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อทุกๆส่วนของไวรัส ไม่ใช่เฉพาะกับสไปก์โปรตีน เหมือนที่ยาฉีดยีนไวรัสที่หลอกว่าเป็นวัคซีนทำ เพื่อเข้าใจง่ายๆ ถ้าเทียบให้เข้าใจ การเน้นแต่สไปก์ เหมือนเราแค่ถ่ายแต่ “หน้า” คนร้ายไว้ แล้วบอกร่างกายว่า ถ้าผู้ร้ายที่มีหน้าตาแบบนี้มาให้จัดการ ปัญหาเกิดตรงที่ เมื่อผู้ร้ายไปแปลงโฉม (กลายพันธุ์) รูปที่ถ่ายไว้รูปเดิมเลยไม่สามารถนำมาจับผู้ร้ายหน้าใหม่ได้ ต่างจากภูมิตามธรรมชาติ ที่จำทั้ง หน้าตา ส่วนสูง รูปทรงกะโหลก จอม่านตา ลายนิ้วมือ ลายนิ้วเท้า ท่าเดิน น้ำเสียง ฯลฯ เพราะฉะนั้นต่อให้ผู้ร้ายไป “แปลงโฉม” มาก็ยังสามารถจับได้

3.      เรารู้ว่า ร่างกายมีทั้ง IgG และ IgA โดย IgG อยู่ในกระแสเลือด (ถึงต้องเจาะเลือดตรวจกัน) แต่ IgA อยู่ในสารคัดหลั่ง น้ำมูกน้ำลาย วัคซีนที่ฉีดกัน กระตุ้น IgG ที่อยู่ในเลือด แปลว่าต้องรอให้ เชื้อ “เข้าสู่กระแสเลือดถึงเริ่มทำงาน” ซึ่งสายเกินไปแล้ว มีความพยายามจะบอกว่า ระดับ IgG ที่สูงๆ สามารถ ยับยั้งไวรัสได้ ใช่ แต่เขาลืมไปว่าเป็นการทำลอง “ในหลอด” เอาเชื้อใส่ให้เจอ IgG ตรงๆ แต่ในชีวิตจริงๆ เชื้อ จะต้องผ่านเยื่อบุปอดเข้าไปในเซลล์ทางเดินหายใจ แล้วถึงค่อยเข้าไปในเลือด ต่อให้ IgG ในเลือดทำงาน เชื้อก็เข้าไปขยายตัวในเซลล์บุผนังทางเดินหายใจ เซลล์บุผนังปอด เซลล์บุผนังเส้นเลือดแล้ว เพราะฉะนั้นเลิกอ้างคำว่า ระดับแอนตี้บอดี้สูงๆสามารถยับยั้งไวรัส “ในหลอดทดลอง” สักที ในทางตรงกันข้าม การติดเชื้อ และสร้างภูมิตามธรรมชาติ ร่างกายจะสร้าง IgA แอนตี้บอดี้ที่จัดการเชื้อไวรัสได้ทันทีที่มันเหยียบลงบนผิวของทางเดินหายใจ จัดการมันก่อนที่มันจะสามารถเข้าสู่ร่างกายได้

4.      ภูมิคุ้มกันแบบ adaptive ไม่ได้มีแต่ แอนตี้บอดี้ มีภูมิคุ้มกันแบบเซลล์ ด้วย t cell เพราะฉะนั้นการพูดถึงแต่ระดับ แอนตี้บอดี้ เป็นแค่การ โฆษณา “ขายของ” ไม่ใช่วิทยาศาสตร์

5.      ทั้ง B cell immunity (ภูมิคุ้มกันแบบสร้างแอนตี้บอดี้) และ T cell immunity (ภูมิคุ้มกันแบบเซลล์) ล้วนมี “ความจำ” ความจำที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทั้งสองระบบถูกกระตุ้นให้ ตื่นขึ้นมาทำงานได้ “โดยไม่ต้องสร้าง” แอนตี้บอดี้ หรือ t cell ไว้รอ

6.      นอกจากภูมิคุ้มกันแบบ adaptive แล้ว ร่างกายยังมีภูมิคุ้มกันแบบติดตัวมาแต่เกิด innate immunity ที่ก็สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ และเราก็สามารถทำให้ภูมิคุ้มกันชนิดนี้แข็งแรงขึ้นได้ง่ายๆ ด้วยหลัก 5 อ กับ 1 ห คือ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย อุจจาระ และอารมณ์ บวกกับหลับให้พอเพียง เป็นการทำให้ “สุขภาพดี” ที่ดีต่อทุกโรค มิใช่กับเฉพาะโควิด เด็กเล็กๆจะมีภูมิคุ้มกันแบบนี้ที่แข็งแรงทำให้ในเด็กอาการจะเป็นน้อยกว่าผู้ใหญ่ ใครๆก็รู้กัน แต่น่าสงสัย ทำไมบรรดา “ผู้เชี่ยวชาญ” ไม่ยักรู้

ถ้าเข้าใจตามที่กล่าวทั้งหมดนี้ จะเข้าใจว่า ถ้าติดเชื้อแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่ดีกว่า ที่มีทั้ง antibody และ cellular immunity แถมมี IgA ที่สามารถจับเชื้อได้ตั้งแต่ตอนที่เราหายใจเอาเชื้อเข้าไป และที่สำคัญภูมิเหล่านั้น มีความจำ ที่อยู่นานจนไม่ต้องไปกระตุ้นให้เหนื่อย

ข้อมูลเหล่านี้ เป็น สิ่งที่สอนกันใน โรงเรียนแพทย์ บรรดาหมอๆทั้งหลายต้องรู้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไม ลืมกันหมด หรือ ว่ามีอะไร มาบดบังตา กลัวว่า วัคซีน ที่สั่งๆ มาจะไม่ได้ใช้ กลัวว่า บริษัทยา จะไม่พอใจไม่พาไปเที่ยว หรือ กลัวว่าปลายปีจะไม่มีโบนัส?

ขอท้า “ผู้เชี่ยวชาญ” ท่านไหนก็ได้มาออกทีวีถกกันเรื่องนี้หน่อยกล้าไหม หรือว่า เก่งแต่ในสื่อโซเชียล สื่อที่มีการปิดกั้น เซ็นเซอร์ ข้อมูลที่ทำให้วัคซีนขายไม่ออกอย่างชัดเจน


📝: นิลฉงน นลเฉลย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น