วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2565

ปัญหาของใบยินยอมให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์

 เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ ตะสายะทา สาสาทิกุ กุทิสาสา กุตะกุภู ภูกุตะกุ 

ปัญหาของใบยินยอมให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (Comirnaty)สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 หรือเทียบเท่า

จากการที่คณะกรรมการอาหารและยาได้ให้การอนุมัติฉุกเฉินให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์ (Comirnaty) กับเด็กอายุ12 ถึง 18 ปี โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำใบยินยอมเพื่อให้ผู้ปกครองของเด็กได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนไฟเซอร์ก่อนที่จะลงนามยินยอมให้เด็กในปกครองได้รับการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ดีใบยินยอมดังกล่าวมิได้ระบุข้อมูลที่สำคัญหลายประการเป็นเหตุให้ผู้ปกครองไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1.      ในใบยินยอม มิได้ระบุว่า วัคซีนที่ใช้เป็นการให้ใช้ ภายใต้การ “อนุมัติฉุกเฉิน” (Emergency Use Authorization, EUA) การอนุมัติฉุกเฉินที่ข้ามขั้นตอนการทดสอบความปลอดภัยตามปกติ และปกป้องมิให้ บริษัทต้องรับผิดชอบใดๆหากเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่ผู้ปกครองควรได้รับรู้



2.      ในใบยินยอม มิได้ระบุว่า การวิจัยเพื่อทดสอบความปลอดภัยของวัคซีนไฟเซอร์ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการและจะเสร็จสิ้นลงในปีพุทธศุกราช ๒๕๖๘[1] การมิได้ระบุข้อมูลดังกล่าวทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า วัคซีนไฟเซอร์นั้นไดผ่านการทดสอบความปลอดภัยแล้ว

3.      ในใบยินยอมระบุว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคโควิดในระดับสูง และสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคได้” ซึ่งไม่เป็นความจริง ทั้งนี้จากรายงานการวิจัยที่สนับสนุนทุนโดยบริษัท ไฟเซอร์เอง[2] ซึ่งลงตีพิมพิ์ในวารสารทางการแพทย์ของนิวอิงค์แลนด์ (July 15, 2021 N Engl J Med 2021; 385:239-250) ได้ระบุในหน้า 245 ภายใต้หัวข้อ “ประสิทธิภาพ” (Efficacy) ไว้อย่างชัดเจนว่า “No cases of severe Covid-19 were observed in this age cohort.” ไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง (หรือเสียชีวิต) ในการทดลองนี้ กล่าวคือ ไม่พบผู้ป่วยโควิดรุนแรงทั้งในกลุ่มทดลองที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์และในกลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอก ซึ่งทำให้ ไม่สามารถสรุปได้ว่า วัคซีนไฟเซอร์สามารถป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง หรือ ลดความรุนแรงของโรคได้ ทั้งนี้รายงานวิจัยดังกล่าวเป็นรายงานการวิจัยเดียวกันที่ทางบริษัทใช้ยื่นในการขออนุมัติฉุกเฉินจาก คณะกรรมการอาหารและยา

4.      ในใบยินยอม ระบุผลข้างเคียงที่พบ น้อยกว่าที่พบจริง ทั้งนี้ ในใบยินยอมดังกล่าวระบุผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ น้อยกว่าที่ระบุไว้ในเอกสารกำกับยาของบริษัทยาเอง ที่สำคัญมิได้ระบว่า วัคซีนสามารถทำให้เสียชีวิต หรือมีโอกาสพิการได้

5.   มีข้อมูลภายหลังที่ระบุชัดเจนว่า บริษัทยามีความพยายามในการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีนไฟเซอร์นี้ โดยพยายามปิดข้อมูลดังกล่าวเอาไว้  75 ปี ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลสาธารณะที่ ศาลของประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีคำตัดสินให้มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ และสามารถเข้าไปดูได้ที่ https://phmpt.org/pfizers-documents/ แต่มิได้มีการนำข้อมูลดังกล่าวมาใส่ไว้ในใบยินยอม

ตามคำประกาศสิทธิของผู้ป่วย[3] ข้อที่ ๒.ระบุว่า “ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับทราบข้อมูล “ที่เป็นจริง”และเพียงพอ เกี่ยวกับการเจ็บป่วย การตรวจ การรักษา ผลดีและผลเสียจากการตรวจ การรักษา จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ด้วยภาษาที่เข้าใจได้ง่าย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพปฏิบัติต่อตน” การที่ ใบยินยอมให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (Comirnaty)สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 หรือเทียบเท่าของ กระทรวง มิได้ระบุข้อมูลที่เป็นจริง และพอเพียง ตามที่ระบุในรายละเอียดข้างต้นจึงเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมทางการแพทย์ ขัดต่อสิทธิอังพึงมีของผู้ป่วยตามประกาศของแพทยสภาอย่างชัดเจน จึงขอให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงใบยินยอมดังกล่าวให้มีข้อมูลที่ถูกต้อง มิเช่นนั้นหากมีผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ เกิดผลข้างเคียงจากการได้รับวัคซีนนี้ ใบยินยอมดังกล่าวจะไม่สามารถปกป้อง บุคลากรทางการแพทย์ผู้ที่ทำการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ใหักับผู้ป่วยได้ แม้ว่า ผู้ป่วยหรือผู้ปกครองจะลงนามให้การยินยอมแล้วก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากถือว่า บุคลากรทางการแพทย์ผู้ที่ทำการฉีดวัคซีนให้กับผู้ป่วย “จงใจให้ข้อมูลที่บิดเบือนไม่ตรงกับข้อเท็จจริง” ผลจากการกระทำนี้ อาจทำให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการฉีดวัคซีน สามารถฟ้องร้องเอาผิดและเรียกร้องค่าเสียหายจากบุคลากรทางการแพทย์คนดังกล่าวได้













ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น