วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2565

ยาฉีด RNA ไม่ใช่ mRNA อย่างที่หมอส่วนใหญ่เข้าใจ

            ปัจจุบันมีการระดมฉีด “ยีนเทอราปี” พันธุกรรมบำบัด โดยแพทย์ส่วนใหญ่ เข้าใจว่ามันคือ mRNA    ทั้งที่ในความจริง ยีนเทอราปี นี้มิใช่ mRNA อย่างที่เข้าใจกัน ข้อแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้เป็นอย่างไร อ่านบทความนี้ให้จบจะเข้าใจ

          RNA ย่อมาจาก ribonucleic acid[1] ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมชนิดหนึ่ง คล้ายกับ DNA (deoxyribonucleic acid[2]) ต่างกันที่ RNA จะใช้น้ำตาลไรโบส (ribose, R) เชื่อมระหว่างโมเลกุล ขณะที่ DNA จะใช้น้ำตาลดีออกซี่ไรโบส (deoxyribose, D) นอกจากนี้ RNA จะใช้เบส A (adeneine), U (uridine), G (guanine) และ C (cytosine) ในขณะที่ DNA จะเป็น A, T(thymine), G, C ไม่มี U uridine จึงเป็นเบสที่พบเฉพาะใน RNA

          mRNA (messenger RNA) คือ สารพันธุกรรมตามธรรมชาติ ซึ่งทำหน้าที่นำข้อมูลรหัสพันธุกรรม ที่ถอดจาก DNA ภายในนิวเคลียส ออกมาสร้างโปรตีนในไซโตพลาสซึม mRNA ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินี้จะสลายตัวไปอย่างรวดเร็วภายหลังจากการสังเคราะห์โปรตีนที่ต้องการสิ้นสุดลง และด้วยเหตุผลนี้หมอส่วนใหญ่จึงเข้าใจผิดๆว่า ยาฉีดไฟเซอร์ และโมเดิร์นนา คือ mRNA ทั้งที่ยาฉีดสองอย่างนี้ไม่ใช่ ดังเหตุผลต่างๆต่อไปนี้

1.    ไฟเซอร์ และโมเดิร์นนา ใช้ ยูริดีนเทียม (psuedouridine )ซึ่งมิใช่ uridine โดยเป็น N1-Methylpsuedouridine[3] มิใช่ ยูริดีน ที่พบใน mRNA ปกติ ยูริดีนเทียมนี้มีความคงทน สลายตัวช้ากว่า ยูริดีน ปกติ[4] ต่างจาก mRNA ตามธรรมชาติซึ่งใช้ ยูริดีนแท้ ที่สลายตัวได้เร็ว

2.    ไวรัสซาร์สโควีทู ซึ่งทำให้เกิดโรคโควิด-๑๙ เป็น ไวรัสที่ใช้ RNA เป็นสารพันธุกรรม[5], [6] สารพันธุกรรมที่ทำให้เกิดการสร้างโปรตีนสไปก์ของไวรัส จึงต้องเรียกว่า ยีนของไวรัส ไม่ใช่ mRNA เพราะมิได้เป็น RNA ที่เกิดจากการถอดรหัส DNA เหมือนที่เกิดในเซลล์มนุษย์ ดังนั้นชื่อที่ถูกต้อง จึงมิใช่ mRNA แต่ควรเรียกว่า Viral RNA Gene injection

3.    มีงานวิจัย[7],[8] ที่พบสไปก์โปรตีนและ ยีนสไปก์โปรตีน (หรือที่บริษัทยาหลอกว่าเป็น mRNA) ในกระแสเลือดภายหลังจากที่มีการฉีดเข้าร่างกายมนุษย์ การที่พบ ยีนของไวรัส (Viral RNA gene, หรือที่บริษัทหลอกว่าเป็น mRNA) อยู่ในกระแสเลือด แปลว่า ยาที่ฉีดมิได้อยู่แค่บริเวณที่ฉีดดังที่มีการกล่าวอ้าง ที่สำคัญตามธรรมชาติเราจะไม่พบ mRNA อยู่ในกระแสเลือด การที่พบยีนสไปก์โปรตีนของไวรัสในกระแสเลือดภายหลังจากที่ฉีดนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ยืนยันว่ายาฉีดนี้ไม่ใช่ mRNA

4.    มีการวิจัย[9]ที่พบว่าภายหลังจากที่ฉีด ยาฉีดยีนไวรัส (ที่บริษัทยาหลอกว่าเป็น วัคซีน) มีการพบ ยีนที่ฉีดในต่อมน้ำเหลืองนานถึงแปดสัปดาห์หลังจากฉีด ที่สำคัญมีการพบสไปก์โปรตีนของไวรัสร่วมด้วย แปลว่านอกจาก ยีนของไวรัส ที่นำมาฉีดนั้น จะไม่ได้สลายตัวไปอย่างรวดเร็วตามที่อ้าง มันยังกระจายตัวไปที่ต่อมน้ำเหลืองและยังสามารถสร้างสไปก์โปรตีน ที่เป็นพิษภายในต่อมน้ำเหลือง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานถึงแปดสัปดาห์หลังจากที่ฉีด

5.    สไปก์โปรตีนโดยตัวของมันเองเป็นสารพิษที่สามารถทำให้เกิดการอักเสบของผนังเส้นเลือด โดยสไปก์โปรตีนจะไปรบกวนการทำงานของ ตัวรับ ACE2 (ACE2 receptor)[10] และทำให้เกิดปอดอักเสบได้[11] mRNA ตามธรรมชาติ จะไม่สร้างโปรตีนที่เป็นพิษต่อร่างกาย การที่ยาฉีดยีนไวรัสนี้ทำให้เซลล์ของเราเองสร้างสารที่เป็นพิษต่อร่างกายจึงเป็นเหตุผลที่ยืนยันว่า ยาฉีดนี้ไม่ใช่ mRNA

6.    มีงานวิจัยที่พิสูจน์ว่า ยีนสไปก์โปรตีนของไวรัสที่ฉีดเข้าร่างกายนี้ สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของเซลล์มนุษย์ โดยทีมนักวิจัยจากประเทศสวีเดน[12] พบว่า ยาฉีดยีนของไวรัสสามารถสอดแทรกรหัสพันธุกรรมเข้าไปใน DNA ของเซลล์ตับ โดยเอายีนสไปก์โปรตีนของไวรัสใส่เข้าไปในพันธุกรรมของมนุษย์ ทำให้เซลล์ตับสามารถสร้างสไปก์โปรตีนได้ แม้ว่าสารพันธุกรรม RNA จะสลายตัวไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นจาก mRNA ที่พบตามธรรมชาติ เนื่องจากตามปกติ mRNA ที่เกิดตามธรรมชาติจะสลายตัวไปในเวลาไม่นาน ไม่เข้าไปเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของ DNA เหมือนที่เกิดขึ้นในกรณียาฉีดยีนไวรัส (ที่บริษัทยาหลอกว่าเป็น วัคซีน)

7.    มีงานวิจัยที่ยืนยันว่า[13] สไปก์โปรตีนที่ยาฉีดยีนไวรัส (ที่บริษัทยาหลอกว่าเป็น วัคซีน) ไปบังคับให้เซลล์สร้างขึ้นนั้น สามารถเข้าไปในนิวเคลียส แล้วไปรบกวนการซ่อมแซมสารพันธุกรรม DNA ของเซลล์ ซึ่งทำให้เกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้ โปรตีนที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ของ mRNA ตามธรรมชาติไม่เข้าไปรบกวนการซ่อมแซมสารพันธุกรรมในนิวเคลียส

8.    ยาฉีดยีนไวรัส (ที่บริษัทยาหลอกว่าเป็น วัคซีน) ไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้หากไม่ได้มีหยดไขมันนาโน มาห่อหุ้มไว้ ตามธรรมชาติ mRNA จะสร้างจากภายในนิวเคลียส ซึ่งอยู่ในเซลล์ของมนุษย์ mRNA ตามธรรมชาติจึงมิได้พบภายนอกเซลล์ และไม่จำเป็นต้องมีกลไกในการนำเข้าไปในเซลล์ ด้วยเหตุนี้เมื่อมีการฉีดยาฉีดยีนไวรัสจากภายนอกเซลล์ จึงจำเป็นต้องหาวิธีเอายีนของไวรัสนี้เข้าสู่เซลล์ บริษัทยาจึงต้องเอา หยดไขมันนาโน มาห่อหุ้มยีนของไวรัสเอาไว้ เพื่อหลอกให้เซลล์ของมนุษย์เข้าใจว่าเป็นเพียงหยดไขมัน ไขมันเป็นสารอาหารสำคัญที่เซลล์ของมนุษย์จำเป็นต้องใช้ เมื่อมีการหลอกให้เซลล์เข้าใจผิดว่ายาที่ฉีดเป็นเพียงหยดไขมัน เซลล์มนุษย์ก็จะนำเอาหยดไขมันเหล่านั้นเข้าสู่เซลล์ โดยมิรู้ว่าภายในหยดไขมันนั้น มียีนของไวรัสซ่อนอยู่ (ม้าโทรจัน) ซึ่งตามธรรมชาติแล้วเซลล์จะไม่ยินยอมให้ยีนของไวรัสเข้าไปในเซลล์ mRNA ตามธรรมชาติเกิดขึ้นในเซลล์ ยาฉีดยีนไวรัสต้องใช้วิธีม้าโทรจันเพื่อเข้าเซลล์ ยาฉีดนี้จึงมิใช่ mRNA

9. มีงานวิจัยที่ทำโดยรัฐบาลญี่ปุ่น[14], [15] ที่พบว่า หยดไขมันนาโนที่บริษัทยานำมาใช้เป็นม้าโทรจันตามข้อ 8 นั้น เมื่อฉีดเข้าร่างกายแล้วจะกระจายตัวไปตามกระแสเลือดตามท่อน้ำเหลือง เข้าสู่อวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย ตั้งแต่เซลล์บุผนังเส้นเลือด ต่อมน้ำเหลือง ตับ ม้าม ไขกระดูก สมอง รังไข่[16] ฯลฯ ซึ่งในกรณีของ mRNA ตามปกติ นั้นเมื่อมีการสร้างขึ้นในเซลล์ใดจะคงอยู่ภายในเซลล์นั้นๆ ยกเว้นในเซลล์ผิดปกติ อาทิ เซลล์มะเร็ง อาจมีการพบ mRNA จากเซลล์มะเร็งเหล่านั้นในกระแสเลือดได้

10.    เหตุผลสำคัญข้อสุดท้าย mRNA ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ จากการถอดรหัสพันธุกรรมตามปกติในมนุษย์ ไม่ทำให้พิการ ไม่ทำให้เสียชีวิต แต่ยาฉีดที่ทำจากยีนของไวรัส ทำให้ป่วย ทำให้พิการ ทำให้เสียชีวิต โดยมีรายงานทั้งในต่างประเทศ[17] และในประเทศไทยเอง[18]

 

จากเหตุผลทั้ง 10 ข้อดังกล่าวทำให้ ยาฉีดยีนไวรัส ที่อ้างว่าเป็นวัคซีน mRNA นั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ mRNA แต่ควรเรียกว่า ยาฉีดยีนไวรัส ซึ่งควรจัดเป็น พันธุกรรมบำบัด (gene therapy) มากกว่าวัคซีน พันธุกรรมบำบัดที่ไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ และก่อให้เกิดผลข้างเคียงในระยะสั้นและระยะยาวมากมาย

  

 

"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง 

ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง 

ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ตัวท่านเอง 

ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"

 

พระปณิธาน สมเด็จพระราชบิดา


📝 นพ. อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง 


ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการต่างๆที่เป็นผลกระทบหลังจากฉีดวัคซีน

https://t.me/vaccine_efffects






4 ความคิดเห็น:

  1. ข้อมูลและความเห็ฯเช่นนี้ ควรนำไปถก ในเวทีวิชาการของแพทย์ ให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน ไม่สมควรที่จะ สื่อให้ ประชาขนทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานการพิจารณา เกิดความสับสนงนงงว่าจะชเื่อใครดี หรือจะต้องเลือกฝั่งใก้เกิดความแตกแยกในสังคม

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มีเวทีไหนให้ถกครับ กรุณาบอกมาหน่อย

      ลบ
    2. เงียบ คนแสดงความคิดเห็น ไม่กล้าแสดงตัว อยากให้ถก แต่ ไม่กล้ามาถก กล้าเมื่อไรเชิญนะครับรออยู่ ที่สำคัญในบทความมีอ้างอิงใส่ไว้ให้แล้วครับ ถ้าคิดเป็นไปค้นข้อมูลตามที่อ้างได้ครับ

      ลบ
  2. มีเด็กแถวบ้านอาการเดียวคล้ายกับร้องศิริรัตน์ที่ลำพูนคะรับมา2เข็ม พอเดือนที่2เริ่มไอเจ็บหน้าอกมากเหนื่อยหายใจไม่ออกเข้ารพ พบ ลิ่มเลือดเต็มปอดต้องเข้าไอซียูให้ยาละลายลิ่มเลือด ตอนนี้ออกมาแล้ว แต่ญาติบอกว่า หมอบอกไตเหลือแค่6% คะ

    ตอบลบ